ทำความรู้จัก Startup ในสหรัฐฯ (ตอนที่ 2)

เมื่อช่วงต้นปีเราได้พาท่านทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพ เทรนด์การทำธุรกิจสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวตั้งเพื่อหา solution หรือ disrupt อุตสาหกรรม จนหลายรายเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมนั้น ๆ ไปโดยสิ้นเชิง

สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีธุรกิจสตาร์ทอัพมากที่สุดในโลก และมีระบบนิเวศ (ecosystem) ที่พร้อมในทุก ๆ ด้านมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งสถาบันการศึกษาขั้นสูง ทรัพยากรมนุษย์ แหล่งเงินทุน อุปสงค์ตลาดขนาดใหญ่ และองค์กรที่พร้อมจะสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ

ข้อมูลและสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับธุรกิจ startup ในสหรัฐฯ

ปัจจุบันสหรัฐฯ มีธุรกิจสตาร์ทอัพมากเป็นอันดับหนึ่งถึง 72,506 ราย ตามด้วยอินเดีย 13,905 ราย สหราชอาณาจักร 6,396 ราย แคนาดา 3,446 ราย และออสเตรเลีย 2,399 ราย โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา มีสตาร์ทอัพใหม่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ถึง 5,779 ราย

ครึ่งหนึ่งของสตาร์ทอัพเริ่มต้นด้วยการใช้บ้านเป็นออฟฟิศเพื่อประหยัดต้นทุน และ 33% เริ่มต้นด้วยเงินทุนที่น้อยกว่า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงานของ Zippia บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและจัดหางานชื่อดังของสหรัฐฯ ระบุว่า 10% ของสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ล้มเหลวภายในปีแรกของการก่อตั้งบริษัท ภายในสิ้นปีที่สองมีประมาณ 30% และภายในสิ้นปีที่ 5 มีถึง 50% ที่ล้มเหลว ในท้ายที่สุด ภายในสิ้นปีที่ 10 มีถึง 70% ของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ล้มเหลว

Credit: www.zippia.com

สำหรับเหตุผลที่ทำให้สตาร์ทอัพหลายแห่งล้มเหลว มีตั้งแต่ปัญหาภายในและสภาวะแวดล้อมภายนอก โดย 34% ไม่สามารถสร้างสินค้าหรือบริการที่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ (Product-Market Fit) 22% ประสบปัญหาเรื่องการตลาด 18% ประสบปัญหาภายในทีมงาน 16% ประสบปัญหาทางการเงิน และ 10% ประสบปัญหาด้านเทคโนโลยีหรือกฎหมาย

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า 90% ของสตาร์อัพในสหรัฐฯ จะสามารถอยู่รอดได้หลังผ่านพ้นปีแรก แต่จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าในช่วงระยะปีที่ 2 เป็นต้นไป จะมีบริษัทที่ล้มหายตายจากหรือไม่สามารถหาเงินทุนได้ โดยบทวิเคราะห์ของ Zippia ระบุว่า มีสาเหตุสำคัญมาจากการที่อัตราการเติบโตของบริษัทในแบบก้าวกระโดดมักทำให้ผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่า ต้องฉวยโอกาสเร่งขยายกิจการ จนนำไปสู่ “การใช้จ่ายเงินเกินตัวและลงทุนขยายกิจการก่อนเวลาอันควร จนกระทั่งทำให้ติดหล่ม “Product-Market Fit” ในบั้นปลาย

Unicorn คืออะไร?

บริษัทสตาร์อัพที่ถูกเรียกว่า ‘ยูนิคอร์น (Unicorn)’ คือบริษัทมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นกิจการหายาก และมีเพียง 0.00006% ของบริษัทสตาร์ทอัพทั้งหมดในสหรัฐฯ เท่านั้นที่สามารถกลายร่างเป็น Unicorn ได้สำเร็จ โดยปัจจุบันในปี 2566 สหรัฐฯ มียูนิคอร์น ถึง 1,205 ตัว จากเพียง 266 ตัวเมื่อปี 2561

อย่างไรก็ดี ยูนิคอร์นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่บริษัทของสหรัฐฯ แต่คือบริษัท ByteDance ของจีน ซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชั่นดัง TikTok ที่มีมูลค่าสูงถึง 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอันดับที่ 2 คือ บริษัท Space X ของสหรัฐฯ มูลค่า 127,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับที่ 3 คือ SHEIN ซึ่งเป็นบริษัท Fast Fashion ออนไลน์ชื่อดังจากจีน มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อุตสาหกรรมสตาร์ทอัพที่น่าจับตามองและคาดว่าจะเป็นที่นิยมในปี 2566

1.) การจัดหางาน (Recruitment)

อุตสาหกรรมการจัดหางานคือ การจับคู่ผู้สมัครงานกับตำแหน่งงานที่เหมาะสม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าเนื่องจากโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งทำให้หลายบริษัทลดจำนวนพนักงานลงไปมาก เมื่อโควิด-19 เริ่มบรรเทาลง ความต้องการพนักงานก็เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทหลายแห่งเปิดทำการปกติ ซึ่งบริษัทจัดหางานได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งปี 2566 นี้ มีความต้องการแรงงานฝีมือเป็นอย่างมาก ทำให้ความต้องและการกระบวนการสรรหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพก็ต้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

บริษัทสตาร์ทอัพอาจมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหางาน เช่น การใช้พนักงานชั่วคราวหรือพนักงานสัญญาจ้างเพื่อบรรจุตำแหน่งระยะสั้นหรือชั่วคราว ซึ่งอาจเป็นบทสรุปที่เหมาะสมสำหรับบริษัทใดก็ตามที่มีภาระงานผันผวนหรือต้องการเติมตำแหน่งเพียงชั่วคราว ในขณะเดียวกัน ส่วนการสรรหาผู้บริหารหรือผู้บริหารระดับสูง เช่น CEO, CFO และ CTO โดยทั่วไปแล้ว บริษัทที่ทำ recruitment จะผสมผสานกระหว่างการทำวิจัย การสร้างเครือข่าย และเทคนิคการสรรหาบุคลากร เพื่อคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด เป็นต้น

ตัวอย่างสตาร์ทอัพด้าน recruitment ที่มีชื่อเสียง เช่น Handshake, Glassdoor และ Canvas เป็นต้น

2.) บริการสตรีมมิ่ง (Streaming Service)

อุตสาหกรรมบริการสตรีมมิ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในปี 2566 อีกด้วย บริการสตรีมมิ่งทำได้ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ รายการทีวี เพลงหรือเกมส์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงสื่อต่าง ๆ ได้ตามต้องการโดยผ่านอินเทอร์เน็ต

สตาร์ทอัพชื่อดังในโลกสตรีมมิ่ง เช่น Netflix, Hulu และ Spotify ได้กลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมบันเทิงที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี

3.) การเรียนการสอนทางดิจิทัล (EdTech)

Edtech หรือการเรียนรู้ทางไกลผ่านระบบดิจิทัลซึ่งในปัจจุบันนี้มีความสำคัญมากขึ้น สตาร์ทอัพด้าน EdTech เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเรียน ครู และสถาบันการศึกษา

เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การศึกษาได้เปลี่ยนจากการเรียนแบบตัวต่อตัวเป็นการเรียนแบบออนไลน์ ด้วยเหตุนี้ EdTech จึงกลายเป็นกลุ่มที่มีกำไรมากที่สุดในปี 2564 ยิ่งไปกว่านั้น 63% ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเปิดสอนหลักสูตรดิจิทัลแบบเต็มเวลา

ในปี 2563 ความต้องการเครื่องมือการเรียนรู้ออนไลน์นำไปสู่ค่าใช้จ่ายมูลค่า 227,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 404,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568

ตัวอย่างของบริษัท EdTech ที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ Udemy, Coursera และ Duolingo โดย Udemy ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่เปิดสอนหลักสูตรสำหรับวิชาต่าง ๆ มีนักเรียนมากกว่า 52 ล้านคนและผู้สอน 57,000 คนในปี 2565 Coursera เปิดสอนหลักสูตรออนไลน์ ปริญญา และประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยและบริษัทชั้นนำ ซึ่งมีผู้ใช้มากกว่า 113 ล้านคนในปี 2564 และ Duolingo เป็นแอพพลิเคชั่นเรียนภาษาที่มีผู้ใช้มากกว่า 300 ล้านคนและให้บริการในกว่า 30 ภาษา

สตาร์ทอัพด้าน EdTech มีโอกาสสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ช่วยให้ผู้คนให้ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มแบบโลกเสมือนจริง ที่ช่วยให้นักเรียนได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สมจริง หรือการสร้างแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ภาษาใหม่ผ่านบทเรียนในลักษณธแบบเกมส์

4.) อีคอมเมิร์ซ (E-commerce)

ปัจจุบัน e-commerce ยังคงเป็นอุตสาหกรรมยอดนิยม ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพในการเข้าถึงตลาดโลก ไม่ว่าผู้ขายจะขายผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ตัวอย่างของบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักอย่างดี และถูกใช้ในชีวิตประจำวันของคนอเมริกัน เช่น Amazon, eBay ก็เคยเป็นสตาร์ทอัพมาก่อน และในปีนี้หลายบริษัทที่ทำธุรกิจ e-commerce เริ่มมาแรงมากขึ้น เช่น Whatnot ซึ่งให้บริการ livestream marketplace และ Rent the Runway ซึ่งให้บริการเช่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับแบรนด์เนม

5.) เทคโนโลยีทางการแพทย์ (MedTech)

เทคโนโลยีทางการแพทย์และฟิตเนสที่เป็นนวัตกรรมใหม่คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มยิ่งขึ้นในปีนี้ ซึ่งอาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือวินิจฉัย หรือ digital health solution ใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น การพัฒนาอุปกรณ์สำหรับสวมใส่ที่สามารถตรวจสอบสัญญาณชีพหรือข้อมูลทางกายภาพของบุคคล และส่งข้อมูลไปยังผู้ให้บริการด้านการแพทย์เพื่อทำการวิเคราะห์ เป็นต้น

ส่วนด้านฟิสเนส อาจพัฒนาโปรแกรมออกกำลังกายออนไลน์แบบสมัครสมาชิกที่นำเสนอแผนการออกกำลังกายส่วนบุคคลและติดตามความคืบหน้าของผู้ใช้ หรือการสร้างกลุ่มอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายที่ตรวจสอบระดับกิจกรรมของบุคคล คุณภาพการนอน และมาตรวัดด้านสุขภาพอื่น ๆ

6.) เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)

ในปี 2566 นี้ คาดว่า เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังมีบทบาทสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรม Fintech ตัวอย่างเช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและให้คำแนะนำแก่ลูกค้า ในขณะที่เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสของธุรกรรมทางการเงินได้

ตัวอย่างสตาร์ทอัพด้าน FinTech ที่มีชื่อเสียง เช่น บริษัท Credit Karma, Chime และ Stripe เป็นต้น

7.) การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)

ตัวอย่างของบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ McAfee, Symantec และ Kaspersky Lab ซึ่งบริษัท McAfee ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำที่ป้องกันไวรัส มัลแวร์ และภัยคุกคามอื่นๆ มีรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564

8.) สันทนาการและความบันเทิง (Leisure and Entertainment)

ตัวอย่างของบริษัทในอุตสาหกรรมสันทนาการและความบันเทิง ได้แก่ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งกีฬา เช่น ESPN+ บริการสตรีมเพลง เช่น Spotify และเว็บไซต์จองการเดินทาง เช่น Expedia แอพพลิเคชั่นอย่าง TikTok และ Clubhouse ก็ได้รับความนิยมสูงมากอย่างรวดเร็วจนถือว่าเป็น disruptor อย่างแท้จริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากแอพเหล่านี้มอบวิธีการเชื่อมต่อกับผู้อื่นและมี algorithm ที่สามารถจัดสรรและแชร์เนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้

9.) การจัดส่งสินค้า (Logistics)

จำนวนและความนิยมที่เพิ่มขึ้นของร้านค้าออนไลน์ ส่งผลให้การจัดส่งสินค้าที่ตรงเวลาและมีประสิทธิภาพมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์จึงมีโอกาสที่จะสร้างนวัตกรรมที่เป็นโซลูชัน ซึ่งตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคได้ ตัวอย่างของบริษัทโลจิสติกส์ที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ Amazon, UPS และ DHL โดย Amazon เป็นแบรนด์หลักในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และมีการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่โดดเด่น มีเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติงานและเส้นทางการจัดส่งที่ชัดเจน ในปี 2565 Amazon มีสมาชิกระดับ Prime มากกว่า 200 ล้านคน และจัดส่งสินค้ามากกว่า 5 พันล้านรายการทั่วโลก และในขณะเดียวกัน บริษัทจัดส่งสินค้าที่เป็นสตาร์ทอัพจำนวนมากก็ยังคงไปได้ดีในสหรัฐฯ เช่น Convoy, Uber Freight และ Zipline เป็นต้น

10.) การเดินทางท่องเที่ยว (Personalised travel and experiences)

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2566 จะยังไม่ดีนัก แต่ผู้คนก็ยังต้องการเดินทางท่องเที่ยว และมีความต้องการช่วงเวลาที่พิเศษและน่าจดจำ สตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักและนิยมมากในสหรัฐฯ ได้แก่ Airbnb, Vayable, Vacasa, Detour และ Turo โดย Airbnb และ Vacasa ให้บริการเช่าที่พักที่เป็นทางเลือกนอกเหนือจากโรงแรม ซึ่งปัจจุบัน Airbnb มีที่พักในเครือข่ายมากกว่า 4 ล้านแห่งในกว่า 100,000 เมือง

Vayable เป็นสตาร์ทอัพที่เชื่อมโยงนักเดินทางกับผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ที่สามารถมอบประสบการณ์ส่วนบุคคล เช่น ทัวร์อาหารหรือเวิร์กช็อปศิลปะ Detour เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการทัวร์เดินชมเมืองต่าง ๆ ด้วยเสียงบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น และ Turo เป็นแพลตฟอร์มให้เช่ารถลักษณะเดียวกับการใช้เช่าบ้านพักของ Airbnb

11.) บริการจัดส่งอาหารออนไลน์ (Online Food Delivery)

บริการจัดส่งอาหารออนไลน์เป็นบริการยอดนิยมในสหรัฐฯ ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสั่งอาหารจากร้านมาส่งถึงหน้าประตูบ้าน ช่วยประหยัดเวลาและสร้างความสะดวกสบายสำหรับผู้ที่มีงานยุ่งหรือมีภาระอื่น ๆ ซึ่งบริษัทสตาร์อัพหลายแห่งกลายมาเป็นแอพที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น Grubhub, DoorDash และ Uber Eats

Grubhub เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสั่งอาหารจากร้านอาหารหลากหลายประเภท DoorDash เป็นแอพส่งอาหารที่เป็นพันธมิตรกับร้านอาหารกว่า 400,000 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา ในปี 2564 มีผู้ใช้งานมากกว่า 18 ล้านคน ส่วน Uber Eats เป็นแอปจัดส่งอาหารในกว่า 6,000 เมืองทั่วโลก และในปี 2565 มีผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านรายต่อเดือน และยังคงมีผู้คิดค้นนวัตกรรมสำหรับบริการประเภทนี้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ

ในครั้งหน้า เราจะพาไปท่านไปทำความรู้จักกับระบบนิเวศสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ ที่มีความหลากหลาย และน่าตื่นตาตื่นใจให้มากขึ้น Stay tuned!

อ้างอิง

https://www.dailymail.co.uk/news/article-11640623/US-economy-1-205-unicorn-business-long-recession-clouds-gather.html

https://www.failory.com/startups/recruiting

https://techjury.net/blog/startup-statistics/#gref

https://www.thairath.co.th/scoop/world/2631588

https://theaccountancycloud.com/blogs/what-are-the-most-popular-startup-industry-sectors-in-2023

https://www.zippia.com/advice/start-up-profitability-statistics/#Startup_Statistics_by_Success_Rates

355 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top